Sunday, 22 December 2024

ปชป. ย้ำไม่หนุนนิรโทษคดีทุจริต-ม.๑๑๒ ยัน ฝ่ายค้านพร้อมอภิปรายรัฐบาลเต็มที่

“ราเมศ” ย้ำจุดยืนประชาธิปัตย์ ไม่หนุนนิรโทษกรรมคดีทุจริต-คดีมาตรา ๑๑๒ เผย ฝ่ายค้านพร้อมอภิปรายเต็มที่ อย่าอ้างยังไม่ได้ใช้งบฯ แล้วเอาเงินที่ไหนจ่อปรับปรุงทำเนียบฯ ๑๐๐ กว่าล้าน ซ้ำ ไม่ทำตามนโยบายที่แถลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๗ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ออกมาระบุถึงมูลเหตุความขัดแย้งทางการเมืองที่จะนำมาพิจารณาในที่ประชุม กมธ.นิรโทษกรรม ซึ่งจะเริ่มนับจากวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ และจะมีการตั้งอนุกรรมาธิการเพื่อเก็บสถิติทางคดีที่จะเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาอย่างใกล้ชิด และสื่อสารผ่านตัวแทนพรรคที่ไปดำรงตำแหน่งเป็น กมธ.วิสามัญชุดดังกล่าวว่า พรรคไม่ติดใจเรื่องเงื่อนเวลาของการพิจารณา แต่เป็นห่วงในความไม่ชัดเจนของ กมธ. ว่าจะพิจารณาคดีทุจริตหลายคดีที่เกิดขึ้นไปในแนวทางใด เพราะพรรคไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการนิรโทษกรรมคดีทุจริตไว้ในร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีได้เคยมีความพยายามในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมโดยรวมคดีทุจริตมาแล้ว นายราเมศ กล่าวต่อไปว่า หากกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังพิจารณาในชั้น กมธ. เป็นไปในแนวทางร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเดิม ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างยับเยิน และจะเป็นตัวปะทุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมาอีกมาก นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ซึ่ง กมธ.ชุดนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้กับคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตราดังกล่าวด้วย เพราะทั้งคดีทุจริต และคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา ๑๑๒ ไม่ใช่คดีที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง อันเป็นเหตุให้กระทำความผิด ส่วนคดีอื่นๆ ที่ กมธ.วิสามัญ จะพิจารณานั้น พรรคประชาธิปัตย์จะติดตามดูว่าเป็นคดีที่มีองค์ความผิดหรือฐานความผิดใดที่สามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณาโดยไม่เอาตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง “พรรคมีจุดยืนชัดเจนว่าจะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้กับคดีทุจริต และคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา ๑๑๒ เพราะไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ใช่เกิดจากกรณีที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองที่จะต้องให้กระทำความผิดในเรื่องดังกล่าว เพราะฉะนั้น ๒ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่พรรคจะติดตามและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา ๑๕๒ เพื่อซักถามข้อเท็จจริงว่า กลไกการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๒ ถือเป็นกระบวนการตรวจสอบอีกช่องทางหนึ่งของฝ่ายนิติบัญญัติ แม้จะไม่มีการลงมติแต่ก็สามารถชี้ให้ประชาชนเห็นถึงความไม่ชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินได้ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ๒๕ เสียง ทำให้ไม่สามารถยื่นญัตติได้โดยลำพัง ฉะนั้น เมื่อเป็นมติของที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านให้ใช้มาตรา ๑๕๒ ในการยื่นญัตติทั่วไปไม่ลงมติ พรรคก็ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ สำหรับข้อมูลการอภิปราย พรรคได้จัดเตรียมข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะแม้รัฐบาลจะอ้างว่ายังไม่ได้ใช้งบประมาณ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การใช้งบฯ ตามปีงบประมาณใหม่ แต่รัฐบาลไม่ได้ทำงานตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ตอนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา“การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ มีหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องตอบ จะมาอ้างว่ายังไม่ได้ใช้งบฯ ได้อย่างไร แล้วงบฯ ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ อย่างไปปรับปรุงทำเนียบฯ ๑๐๐ กว่าล้าน ถามว่าใช้งบฯ ส่วนไหน จะตรวจสอบติติงไม่ได้เชียวหรือ เรื่องเหล่านี้ฝ่ายค้านต้องตรวจสอบด้วยกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ” ในส่วนของการร่างญัตติเปิดอภิปรายนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ประสานกับพรรคก้าวไกล ผ่าน นายนริศ ขำนุรักษ์ รองหัวหน้าพรรค โดยจะได้ร่วมกันตรวจดูญัตติเพื่อให้ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด นายราเมศ กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า การทำงานตลอด ๖ เดือน รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน อย่าไปนับรวมตอนหาเสียง เอาเฉพาะที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่เพิกเฉยต่อนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ประชาชนสามารถคิดได้ว่าเป็นรัฐบาลกลิ้งกลอกไม่จริงใจ รัฐบาลหน้าไหว้หลังหลอก อีกทั้งเชื่อว่าการอภิปรายจะเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศแน่นอน เราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ยึดข้อบังคับการประชุมเป็นที่ตั้ง.