Thursday, 19 December 2024

จีนจวกสหรัฐฯ บูลลี่ ผ่านร่าง ก.ม.บีบ TikTok เลือกขายหุ้นหรือโดนแบน

จีนประณามสหรัฐฯ ว่ามีพฤติกรรมบูลลี่ ผลักดันร่างกฎหมายบีบ TikTok ให้ขายหุ้นหรือจะโดนแบน พร้อมเตือนว่าจะแบนแอปพลิเคชั่นนี้จะย้อนกลับมาเล่นงานสหรัฐฯ เองสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ ๑๓ มี.ค. ๒๕๖๗ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ๓๕๒ ต่อ ๖๕ เสียง ผ่านร่างกฎหมายบีบให้บริษัทจีน ‘ไบต์แดนซ์’ (ByteDance) ขายหุ้นทั้งหมดของ TikTok เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมของโลก เพื่อตัดความสัมพันธ์กับจีนอย่างสิ้นเชิงภายใน ๖ เดือน มิเช่นนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯโดยก่อนที่การลงมติจะเริ่มขึ้น นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ออกมากล่าวหาสหรัฐฯ ว่า พยายามปราบปราม TikTok ทั้งที่ไม่เคยพบหลักฐานว่า TikTok เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ“พฤติกรรมรังแกกัน (บูลลี่) เช่นนี้ เพราะไม่สามารถเอาชนะในการแข่งขันอย่างเป็นธรรมได้ เป็นตัวขัดขวางกิจกรรมทางธุรกิจปกติของบริษัทต่างๆ, สร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนระหว่างประเทศในสภาพแวดล้อมการลงทุน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการซื้อขาย”“ในท้ายที่สุด เรื่องนี้จะย้อนกลับมาเล่นงานสหรัฐฯ เองอย่างหลีกเลี่ยงมาได้” นายหวังกล่าวทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘กฎหมายปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชั่นที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาติ’ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) ยังจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ และให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนาม เพื่อบังคับใช้อย่างเป็นทางการสหรัฐฯ แสดงความกังวลมาตลอด ว่า TikTok อาจแบ่งปันข้อมูลผู้ใช้กับรัฐบาลจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่ ไบต์แดนซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok ปฏิเสธเรื่องความเสี่ยงใดๆ และยืนยันว่าพวกเขาปรับโครงสร้างบริษัทไปแล้ว เพื่อให้ข้อมูลของชาวอเมริกันอยู่แต่ในสหรัฐฯ เท่านั้นอย่างไรก็ตาม การสืบสวนโดยสำนักข่าว วอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม พบว่า ระบบของ TikTok ยังมีช่องโหว่ ให้ข้อมูลถูกแชร์อย่างไม่เป็นทางการระหว่าง TikTok ในสหรัฐฯ กับไบต์แดนซ์ในจีนได้ และมีกรณีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไบต์แดนซ์ในจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลนักข่าว เพื่อตามรอยแหล่งที่มาได้ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreignที่มา : bbc