ก็เป็นไปตามคาด กนง. ซึ่งมี ด็อกเตอร์เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นประธาน ประชุมเช้าวันที่ ๑๐ เม.ย. มีมติ ๕ ต่อ ๒ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ ต่อปี เป็นการคงดอกเบี้ยนโยบาย ๒.๕๐% เป็นครั้งที่ ๓ โดยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยปี ๖๗ มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นจากปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๐ ในปี ๖๗ และร้อยละ ๑.๓ ในปี ๖๘ ในขณะที่ สินเชื่อปล่อยใหม่ยังขยายตัวได้ดี โดยปรับคาดการณ์ จีดีพี ปี ๒๕๖๗ เป็น ๒.๖% และจีดีพีปี ๒๕๖๘ ที่ ๓% ประเด็นที่ กนง.ยังกังวลก็คือ หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นอันว่า กนง. เสียงส่วนใหญ่ ๕ ต่อ ๒ เสียง ไม่เห็นด้วยกับ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่เรียกร้องให้ กนง.ลดดอกเบี้ยลงร้อยละ ๐.๒๕ ในการประชุมครั้งนี้เช้าวันเดียวกัน คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรัฐมนตรีคลัง ก็เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ ๓ ก่อนหน้านี้ นายกฯเศรษฐา แถลงว่า การประชุมครั้งนี้จะมีการแถลงความชัดเจนถึงที่มาของเงิน ๕ แสนล้านบาท และไทม์ไลน์การแจกเงิน หลังการประชุม นายกฯเศรษฐา แถลงว่า วันนี้รัฐบาลมีความยินดีที่จะประกาศให้พี่น้องประชาชนทราบว่า นโยบายการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล เป็นนโยบายที่จะยกระดับเศรษฐกิจระดับประเทศและระดับประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วนายกฯเศรษฐา กล่าวว่า จะเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนยืนยันตัวตนได้ในไตรมาส ๓ และเงินจะส่งตรงไปถึงพี่น้องประชาชนในไตรมาส ๔ ปีนี้ โครงการนี้จะให้สิทธิ์แก่ประชาชน ๕๐ ล้านคน ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ๕ แสนล้านบาท กำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนดจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ ๑.๒% ถึง ๑.๖%เมื่อนักข่าวถามว่า เงินที่จะเข้ากระเป๋าประชาชนในไตรมาส ๔ เป็นวันไหน นายกฯเศรษฐาไม่ตอบ เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที นักข่าวถามต่อว่า หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้มีเงินฝากไม่เกิน ๕ แสนบาท ไม่ได้สิทธิ์จะทำให้คนที่อดออมมารู้สึกไม่ดีหรือไม่ นายกฯเศรษฐาตอบว่า ทำตามคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ให้ดูแลเฉพาะกลุ่มที่เดือดร้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนเป้าหมายการแจกเงิน ยังเป็นผู้มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป จำนวน ๕๐ ล้านคน แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกินปีละ ๘๔๐,๐๐๐ บาท (เงินเดือน ๗๐,๐๐๐ บาท) มีเงินฝากรวมกันไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ทุกบัญชีทุกธนาคาร)ถ้าวิเคราะห์ตามเงื่อนไขนี้ ผู้มีบัญชีเงินฝากในระบบเกือบ ๑๓๐ ล้านบัญชี (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์๖๗) ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท จะลดลงไปหลาย ๑๐ ล้านบัญชีเลยทีเดียว ผู้ได้รับแจกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จะไม่ถึง ๕๐ ล้านคนแน่นอน คงจะเกิด “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ได้ยาก นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขอีกว่า ร้านค้าที่จะรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น และ เมื่อขายสินค้าได้ในรอบที่ ๑ ไม่สามารถนำเงินดิจิทัลไปขึ้นเป็นเงินสดได้ จะถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายรอบที่ ๒ เป็นต้นไปฟังแล้ว โครงการมีความซับซ้อน ร้านค้าที่เข้าร่วมคงไม่มาก ต้องเข้าสู่ระบบภาษี ต้องมีเงินทุนสำรองจ่ายสินค้าล่วงหน้า เพราะขายรอบแรกขึ้นเงินไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ ระบบการชำระเงินแบบใหม่ของรัฐบาล ที่เรียกว่า Super App ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนอะไรเลย โอกาสที่จะแจกเงินและใช้เงินในไตรมาส ๔ จึงคาดว่าคงจะเป็นไปได้ยากที่ชัดเจนมีอย่างเดียวที่มาของเงิน ๕ แสนล้านบาท ๑.จากงบปี ๖๘ จำนวน ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท (ต้องกู้เพิ่ม) ๒.ผ่านหน่วยงานรัฐ ธ.ก.ส. ๑๗๒,๓๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลต้องตั้งงบจ่ายคืน ปัจจุบันติดหนี้ ธ.ก.ส.เกือบ ๑ ล้านล้านบาท) ๓.จากงบปี ๖๗ จำนวน ๑๗๕,๐๐๐ ล้านบาท จากงบกลาง ที่สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน โครงการนี้ไม่เพียงสร้างหนี้เพิ่ม แต่ยังฉุด เศรษฐกิจในภาพรวม โอกาสที่จะเห็นจีดีพีเติบโต ๕% คงเป็นไปได้ยากยิ่ง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม
Related posts