Thursday, 19 December 2024

นายกฯ ยันไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน ชี้ มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้สบายๆ อยู่แล้ว

“นายกฯ นิด” รับ ทำงานมา ๗ เดือน ยังไม่พอใจ หลายปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข มอง พรรคร่วมรัฐบาลรู้ใจกันเดินหน้าแก้ปัญหา รับ เป็นนักการเมืองต้องปรับตัวเยอะ มั่นใจไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ชี้ มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้สบายๆ อยู่แล้ววันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๗ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดใจถึงการทำงานในรอบ ๗ เดือนที่ผ่านมา ว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้วแต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว ๑๔๐% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-๑๙ ในปี ๒๕๖๒ ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม-เมษายน เราได้ประมาณ ๖๐% หากคิดเป็น ๑๐๐% วันนี้เราได้ประมาณ ๙๐% ตนมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย ๓๙.๔ ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปี ๒๕๖๗ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์เถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้ ส่วนเรื่องของกรมศุลกากรที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีจากรายได้ของประเทศปีละประมาณ ๓ ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน ๓ กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ ๑ แสนล้าน คิดเป็นประมาณ ๓% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ ซึ่งแม้ว่าจะเก็บได้ ๓% แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อนที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อนจนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด “ผมพูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ ได้แค่ ๓% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ ในหลายมิติ หรือเรื่อง ภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหลทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร”นายกรัฐมนตรี ระบุต่อ ขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน ๗ เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไปและทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุน เรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด ยอมรับว่าต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง ๔ เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่เมื่อมาอยู่ในบริบทของนักการเมืองและเป็นนายกรัฐมนตรีที่มี ๑๔๑ เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ๑๔๑ เสียงจาก ๕๐๐ เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สถาบันความมั่นคง NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้น ขอใช้คำว่าหุ้นส่วนในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค สส.แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วนทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา ๗ เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อถามว่าการเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ มีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า หน้าที่ของตนไม่ใช่การเซฟตัวเอง ตนมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมือง มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเอง ตนไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนเองไม่มีแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ส่วนตัวของตนลงตัวแล้ว“ผมมีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองผมไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งผมย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า ๓ ปีครึ่งจากนี้ไป ผมมีเรื่องเดียวคือ ยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก ๔๐ กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน”ผู้สื่อข่าวถามต่อ การมาเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน มีการเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายเศรษฐา ระบุว่า ตนเจอเพื่อนทุกคน ก็คุยกันว่าคนอายุ ๖๐ ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตนอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น หรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนของตนทำตัวแบบนั้น ก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าหากอีก ๓ ปีครึ่ง ต้องมีเพื่อนน้อยลงแลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ตนก็พร้อมส่วนคำถามว่า มุมมองทางการเมืองเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกรัฐมนตรี เผยว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่านักการเมืองเลวเพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้น การที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว คิดว่าคนพวกนั้นดูถูกตนไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไร ก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม นายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า ในเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า Bigger bang for the buck หมายความว่า หากใส่เงินไป ๑ บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า พร้อมยกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่า หากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วมได้แล้วก็จะได้ผลประโยชน์ ๒ ต่อ คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส.แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง.

Related posts