Thursday, 19 December 2024

ปรับระบบเกษตร-ลดการเผา เพิ่มรายได้พื้นที่สูงกว่า ๒.๕ เท่า

ประชาชนบนพื้นที่สูงส่วนใหญ่ยังคงยากจนและเข้าไม่ถึงบริการของรัฐ จากข้อมูลระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ปี ๒๕๖๕ พบว่า มีคนจน บนพื้นที่สูงมากถึง ๒๖๑,๐๔๓ คน มีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕๗,๑๔๔ บาท ส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักและเก็บหาของป่าเพื่อสร้างรายได้เสริม เป็นการทำเกษตรตามวิถีและความเชื่อดั้งเดิม ที่นำไปสู่การบุกรุกคุกคามพื้นที่ป่ามากสุดในพื้นที่ภาคเหนือมากถึง ๖๕๑ แห่ง จากทั้งหมด ๑,๓๘๔ แห่งทั่วประเทศ“แนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและการเผาบนพื้นที่สูง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วจากการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง โดยทำให้เกิดความชัดเจนว่าพื้นที่ไหนเป็นป่า พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ทำกิน เพื่อไม่ให้สองส่วนนี้รุกล้ำซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงใช้ความรู้เพื่อปรับเปลี่ยนวิถีในการทำการเกษตรที่เหมาะสมกับสภาพภูมิสังคม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการปลูกพืชเสพติดและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการปลูกพืชทางเลือกควบคู่ไปกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบชุมชน จนปัจจุบันถือได้ว่า ในพื้นที่โครงการหลวงปลอดการเผา ๑๐๐%” นางสาวเพชรดา อยู่สุข รองผู้อำนวยการด้านการพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. กล่าวว่า จากการที่ สวพส.ได้นำแนวทางการดำเนินของโครงการหลวงมาปรับใช้ในพื้นที่สูงอื่นๆให้ชาวบ้านมีรายได้จากการปลูกพืชทางเลือก โดยใช้พื้นที่น้อย แต่มีรายได้ตอบแทนสูง และไม่ต้องใช้ไฟในการทำงานแทนโดยใช้วิธีการทำงานด้วยการวิเคราะห์เป็นรายหมู่บ้านเป็นรายคน เลือกพืชเลือกวิธีการประกอบอาชีพที่ตรงตามกับภูมิสังคม เหมาะสมกับพื้นที่มีมาตรฐาน มีตลาดรองรับ แต่การจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จำเป็นต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่มาสนับสนุนอย่างเช่น แหล่งน้ำ ไฟฟ้า ถนน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายๆหน่วยงานมากกว่า ๓๐ กรม จาก ๗ กระทรวง เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกัน “ผลจากการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยการปรับระบบเกษตรที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชทางเลือกและไม่เผาวัสดุการเกษตร สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงทั้ง ๔๔ แห่ง พบว่า เกษตรกรกลุ่มสำรวจ ๒๖๖ คน มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒.๕๓ เท่าตัว จากเดิมที่มีค่าเฉลี่ยรายได้ก่อนปรับระบบเกษตรกร ๖๘,๕๒๖ บาท/ครัวเรือน/ปี ต่ำกว่าเส้นความยากจนของประชาชนบนพื้นที่สูง จากการสำรวจโดย สวพส. ๑๒๐,๔๘๓ บาท/ครัวเรือน/ปี แต่เมื่อปรับระบบเกษตรแล้วเกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตผล ๑๗๓,๓๓๒ บาท/ครัวเรือน/ปี ทำให้มีเงินออมเพิ่มขึ้น ภาระหนี้สินภาคเกษตรลดลง”รองผู้อำนวยการด้านการพัฒนา สวพส. เผยว่า ปี ๒๕๖๖ เกษตรกรในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง สามารถจำหน่ายผลผลิต เช่น พืชผัก ไม้ผล ชา กาแฟ พืชไร่ พืชท้องถิ่น ไม้ดอก โดยจำหน่ายผ่านตลาดท้องถิ่น ตลาดข้อตกลง ตลาดโครงการหลวง ตลาดออนไลน์ และตลาดอุทยานหลวงราชพฤกษ์ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรวมมูลค่า ๔๗๖.๕๙ ล้านบาท คิดเป็นรายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรของเกษตรกรเฉลี่ยต่อครัวเรือน ๘๐,๒๗๑ บาท/ครัวเรือน/ปีทั้งนี้ เป็นการส่งเสริมแก่กลุ่มเกษตรกรที่ยากจนหรือด้อยโอกาสเป็นพิเศษตาม TPMAP ๑,๕๘๕ ราย สร้างรายได้ ๙.๐๓ ล้านบาท จากการทำงานที่ผ่านมาแบบพุ่งเป้ามีพื้นที่ชัดเจน ประชาชนเป้าหมายชัดเจน สวพส.ใช้วิธีการทำงานที่เป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัยบวกกับความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ทำให้วันนี้มีชุมชนที่ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านมีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่มากกว่าและเป็นความต้องการของเกษตรกรทุกคน คือ สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ปัจจุบันถ้าชาวบ้านอยากมีรายได้ ๑ แสนบาทต่อปี แค่หันมาปลูกพืชทางเลือกพืชเศรษฐกิจที่สร้างผลตอบแทนสูงใช้พื้นที่แค่ ๓-๕ ไร่ ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยก่อนอาจจะต้องใช้พื้นที่ ๕๐-๑๐๐ ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือปัจจุบันชาวบ้านก็สามารถปรับมาเป็นพื้นที่สำหรับปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นให้เป็นพื้นที่สีเขียว หรือหลายชุมชนเองก็คืนพื้นที่บางส่วนเพื่อฟื้นฟูเป็นป่า“วิธีการนี้ยังช่วยลดการเผาในพื้นที่เกษตรได้อย่างชัดเจน เห็นได้จากช่วงปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕ มีจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ๔๔ พื้นที่ ลดลงเหลือ ๗๐๓ และ ๔๓๕ ตามลำดับ จากปี ๒๕๖๓ ที่มีจุดความร้อนมากถึง ๑,๔๗๗ จุด ควบคู่กับการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร เช่น การสร้างฝายชะลอน้ำ ๒๗๒ ตัว แนวกันไฟ ๙๘ ชุมชน ระยะทาง ๑,๒๐๐ กิโลเมตร การผลิตปุ๋ยหมักลดการเผา ๑,๐๗๓ ตัน ป้องกันการบุกรุกป่าและอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ๑.๔๗ ล้านไร่ ใน ๔๖๓ ชุมชน และปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ๒๒,๙๕๑ ไร่ ทำให้ประชาชนบนพื้นที่สูงสามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอปลอดภัยที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP และ Organic สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”. ชาติชาย ศิริพัฒน์คลิกอ่าน “ข่าวเกษตร” เพิ่มเติม